สันติภาพ จันทร์หง่อม : จรวดทางเรียบ “อินทรีทัพฟ้า” ผู้มีภารกิจพาทีมเลื่อนชั้น

แม้ต้องพบกับความผิดหวังหลังไม่มีชื่อติดทัพช้างศึกไปคว้าแชมป์ซีเกมส์ที่ประเทศมาเลเซีย ทว่าในเวลานี้เขายังมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่รออยู่นั่นคือการพา “อินทรีทัพฟ้า” ลุ้นเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปีหน้า
แบ็คจอมบุกรายนี้ใช้เวลาไม่ถึงปีในการแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีม “อินทรีทัพฟ้า” ภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ต้นสังกัดมีลุ้นกลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ไปติดตามเรื่องราวชีวิตของ “เก้ง” สันติภาพ จันทร์หง่อม ได้ที่นี่
เรื่องเล่า 60 วินาที
“เก้ง” สันติภาพ จันทร์หง่อม เด็กชายที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เล็กเริ่มหัดเล่นฟุตบอลครั้งแรกช่วงอายุ 4 ขวบ โดยพ่อ และแม่ของเขาสนับสนุนให้ลูกชายคนนี้ได้ออกกำลังเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ก่อนจะได้ฝึกฟุตบอลอย่างจริงจังครั้งแรกกับอะคาเดมี่เอฟบีที ที่ตึกเอฟบีทีบริเวณรามคำแหง โดยเวลานั้นมีแข้งเยาวชนที่เขายอมรับว่าฝีเท้าเก่งเกินวัย ซึ่งเจ้าหนูรายนี้มีชื่อว่า ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
อภิสิทธิ์ โสรฎา : ทางเลือกกราบซ้าย “ช้างศึก” ในอนาคตจาก “รังกระต่ายแก้ว”
แรงบันดาลใจจากอิสตันบูล : กัณตพัชห์ มันปาติ กับ ‘สปาเก็ตตี้ เลค’ ของเขา

หลังฝึกจนถึงป.4 เขาย้ายไปเป็นแข้งเยาวชนของอะคาเดมี่อินเตอร์ไทยแลนด์ ภายใต้การเคี่ยวเข็ญของอาจารย์ สมบัติ ลีกำเนิดไทย ในเวลาเดียวกัน “เก้ง” ตัดสินใจคัดตัวกับสถาบันลูกหนังอย่างโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ทว่าต้องผิดหวังเมื่อไม่มีชื่อติดทีมก่อนท้ายที่สุดจะมาลงเอยกับ กรุงเทพคริสเตียน ในเวลาต่อมา
ช่วงแรกเขาไม่ได้รับโอกาสลงเล่นให้กับโรงเรียนมากนัก แต่ก็พยายามฝึกฝนอดทนกระทั่งยึดตำแหน่งตัวจริงมาได้ จากนั้นช่วงม.5 “เก้ง” ได้สัมผัสคำว่าฟุตบอลอาชีพครั้งแรกหลังโชว์ฝีเท้ากับ “ชงโคสีม่วง” ได้ดีจนไปเตะตาสโมสรราชวิถี ทีมในดิวิชั่น 2 ที่ในเวลานั้นมีนโยบายทำทีมโดยใช้แข้งดาวรุ่งเป็นหลัก ทว่าเขากลับได้เล่นเพียงเลกเดียว เพราะคุณพ่อของเขาบอกว่ายังเร็วไปที่จะก้าวไปสู่ลีกอาชีพบนวัยเพียง 17 ปี
แต่โอกาสสำคัญในเส้นทางฟุตบอลยังคงเปิดรับเขาต่อไปเมื่อได้ติดทีมนักเรียนไทย รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ไปคว้าแชมป์ที่อินโดนีเซีย ซึ่งหลังจากนั้นเขามีชื่อติดทีมอย่างต่อเนื่องจนมาถึงทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ชุดลุยศึกชิงแชมป์เอเชีย ที่เมียนมาในยุค “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ
ทำไมต้องรู้จักเขา?
หลังจบทัวร์นาเม้นต์ที่เมียนมาเพียงวันเดียว เขาถูกจองตัวทันทีเมื่อ โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ ผู้บริหารบีอีซี เทโรศาสนต่อสายตรงชวนเขาไปร่วมทีม สุดท้ายเขากลายเป็นสมาชิกใหม่ของ “มังกรไฟ” ก่อนจะถูกส่งลงไปเล่นทีมน้องอย่างสโมสรบีซีซีเทโร เอฟซี โดยมีเพื่อนร่วมทีมที่กลายมาเป็นดาวดังในปัจจุบันอย่าง นพพล พลคำ, เฉลิมศักดิ์ อักขี, กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ และสิโรจน์ ฉัตรทอง
แอบคิดนะว่าเราคงดวงไม่สมพงษ์กับซีเกมส์ แต่ชิงแชมป์เอเชียปีหน้าก็น่าจะมีลุ้นอยู่ ส่วนที่ผ่านๆมาก็ถือเป็นประสบการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต
เดิมทีเขาเริ่มต้นกับบีซีซี ในตำแหน่งแบ็คขวา แต่เนื่องจากใช้เท้าได้ดีทั้งสองข้างทำให้ยามที่ทีมขาดแบ็คซ้าย โค้ชก็จะจับเขาลงไปเล่นแทน รวมถึงยังขึ้นไปเล่นเป็นปีกซ้ายได้อีกด้วย จนกลายเป็นแข้งสารพัดประโยชน์ และเป็นกำลังสำคัญของทีม จากนั้นฤดูกาล 2016 นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตนักฟุตบอลของเขาเมื่อถูก “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ที่เห็นฝีเท้ามาตั้งแต่เล่นทีมชาติU18 ชักชวนให้มาร่วมอยู่กับแอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี ที่กำลังบู๊ศึกดิวิชั่น 1 ในเวลานั้น
แต่ช่วงแรกเขาแทบไม่ได้รับโอกาสลงเลยเพราะนโยบายหลักคือการใช้นักเตะของกองทัพอากาศ ก่อนที่เลกสองจะปรับนโยบายหันมาใช้แข้งดาวรุ่งมากขึ้นทำให้ ประกอบกับเขาพิสูจน์ตัวเองในสนามซ้อมว่าถึงแม้อายุยังน้อย และเพิ่งขึ้นมาเล่นดิวิชั่น 1 ครั้งแรก แต่ก็พร้อมลุยเพื่อพาทีมคว้าชัยชนะได้บ่อยครั้ง จนมีโอกาสลงสนามเยอะขึ้น กระทั่งยึดตำแหน่งตัวจริงกราบขวาได้ถาวร และกลายเป็นดาวเตะขวัญใจแฟนบอล “อินทรีทัพฟ้า” อีกรายในตำแหน่งแบ็คจอมบุกที่เติมเกมรุกได้ดุเด็ดเผ็ดมัน จนถึงปัจจุบัน และในปีนี้เขากำลังพา “อินทรีทัพฟ้า” ลุ้นเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหากเทียบผลงานสโมสรกับทีมชาติมันกลับสวนทางกันโดยสิ้นเชิง เพราะเส้นทางกับทีมชาติมักไม่ค่อยราบรื่นนัก เพราะถึงแม้จะเคยติดทีมชาติมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเคยคว้าแชมป์เนชั่นส์ คัพ 2016 ร่วมกับทีมชุดยู22 แต่กับรายการใหญ่อย่างชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือกที่ผ่านมา เขาถูก รัตนากร ใหม่คามิ จับจองตำแหน่งแบ็คขวาแทน ยิ่งไปกว่านั้นศึกซีเกมส์ 2017 ที่เขาหวังจะมีชื่อคว้าแชมป์กับทีมที่มาเลเซีย ก็ถูก “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ตัดชื่อออกจาก 20 คนสุดท้าย
“จริงๆผมก็เสียใจนะ แต่ก็มองว่าเราทำเต็มที่แล้วกับศักยภาพที่เรามีจะเสียใจไปทำไม เราก็เก็บมาเป็นบทเรียนว่าถึงที่ผ่านมาจะเคยมีชื่อมาตลอด แต่ครั้งหนึ่งเราก็หลุดทีมชาติได้เหมือนกัน แล้วก็แอบคิดนะว่าเราคงดวงไม่สมพงษ์กับซีเกมส์ แต่ชิงแชมป์เอเชียปีหน้าก็น่าจะมีลุ้นอยู่ ส่วนที่ผ่านๆมาก็ถือเป็นประสบการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต”
คลิ๊กลิงค์ —>
คลิ๊กลิงค์ —> .